
ก้อนหินแห่งศรัทธาที่ชาวมอญ-พม่า เรียกขานว่า “ไจ้ติโย” หรือ “พระธาตุอินทร์แขวน” เป็น 1 ใน 3 มหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแห่งลุ่มอิระวดี เคียงคู่มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง และพระมหามัยมุนี กรุงมัณฑะเลย์ หินหนักกว่า 600 ตันก้อนนี้ ตั้งอยู่บนหน้าผาหินบนภูเขาปองลอง เขตเมืองไจ้โถ่ ในรัฐมอญของพม่า ตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ว่าจะตกมิตกแหล่ เพราะมองด้วยสายตาแล้ว กว่าครึ่งของเนื้อก้อนหินนั้นยื่นออกมานอกหน้าผา แถมหน้าผายังลาดเอียงลงต่ำ มิได้ยื่นและพุ่งขึ้นสูงเหมือนภูชี้ฟ้าที่เชียงรายบ้านเรา แล้วยังมีการสร้างองค์เจดีย์ตั้งไว้บนก้อนหิน เพิ่มน้ำหนักกดทับเข้าไปอีก จำได้ว่าเคยถามคุณยายชาวพม่าจากเมืองหงสาวดีท่านหนึ่ง ว่าคุณยายคิดอย่างไรกับหินก้อนนี้ จะร่วงหล่นลงมาในวันใดวันหนึ่งหรือไม่ ? คำตอบผ่านล่ามที่ผมได้รับพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึงของคุณยาย คือมันไม่มีวันตกลงมาดอกหลายเอ้ย เพราะพระอินทร์ท่านจับแขวนไว้ให้เราได้กราบไหว้กัน เดาจากสีหน้าท่าทางแล้ว คุณยายคงอยากบอกผมว่า...แกนี่ปากเสีย พูดอะไรไม่เป็นมงคล... มากกว่า

เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ชาวมอญ พม่า ล้านนา เชื่อว่าบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นวิมานที่ประทับของพระอินทร์ มีเจดีย์หรือพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่องค์หนึ่ง ภายในประดิษฐานเส้นพระเกศาส่วนพระเมาลี หรือมวยผมที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดออกในคราวออกบวช ก่อนจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงเรียกกันว่า “พระเกศแก้วจุฬามณี” ถือเป็นเจดีย์ประจำคนที่เกิดปีจอ แต่เมื่อตั้งอยู่บนดาวดึงส์สวรรค์ ชาวพุทธไม่สามารถขึ้นไปกราบไหว้ได้ อย่างมากก็จุดโคมไฟลอยขึ้นไปถวายเป็นพุทธบูชา พระอินทร์จึงมีเมตตาจับก้อนหินประหลาดก้อนนี้แขวนลอยไว้ให้สร้าง “พระเกศแก้วจุฬามณี” จำลองไว้บนโลกมนุษย์ หินก้อนนี้จึงไม่มีวันตกลงมา แถมเชื่อกันว่าคนมีบุญเอาไก่ทั้งตัวลอดใต้ก้อนหินได้ เพราะหากดูรูปทรงแล้ว ส่วนฐานของหินก้อนนี้แตะผิวพื้นหน้าผาเพียงบางส่วนเท่านั้น

เคยมีคนเอาหลอดกาแฟยาวสักคืบไปสอดค้ำไว้ข้างใต้ แล้วใช้ไหล่ดันจนก้อนหินโคลงเคลงเล็กน้อย หลอดกาแฟก็ยวบยาบให้ผมเห็นกับตามาแล้ว (ปัจจุบันรัฐบาลพม่าสั่งห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด) การตั้งอยู่อย่างน่าประหลาดใจของก้อนหินแห่งศรัทธา ทำให้คนรุ่นใหม่ตั้งสมมุติฐานคาดเดาไปต่างๆ นานา อาทิ บริเวณนั้นมีแรงแม่เหล็กดึงดูดก้อนหินไว้ บ้างว่าตรงกลางมีแกนเหล็กที่คนโบราณสร้างไว้แล้วยกหินก้อนนี้มาสวมครอบไว้ บ้างว่าเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว บริเวณนี้เคยเป็นพื้นโลกใต้ทะเล หินก้อนนี้อาจตั้งอยู่โดยมีกรวดทรายหนุนไว้ ก่อนเปลือกโลกจะดันตัวขึ้นมากลายเป็นภูเขา ก้อนหินจึงแลดูตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ และยังมีอีกหลายทฤษฎีที่เพียรพยายามจะไขปริศนาก้อนหินแห่งศรัทธาก้อนนี้

แต่ที่น่าสนใจคือนักวิชาการพม่าอธิบายความน่าอัศจรรย์ใจนี้อย่างไร? ในหนังสือ “ประวัติพระธาตุอินทร์แขวน” (The History of Kyaik hti yo Pagoda) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โปปา กล่าวถึงรายงานการสำรวจพระธาตุอินทร์แขวนอย่างเป็นทางการตามคำสั่งรัฐบาลพม่า เมื่อปี 2544 โดยคณาจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งกรุงย่างกุ้ง ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจคือ หินก้อนนี้เป็นหินแกรนิต น้ำหนัก 611.45 ตัน สูง 8.15 เมตร แต่มีจุดสัมผัส (Contact Area) เพียง 0.714 ตารางเมตร หรือไม่ถึง 1 ตารางเมตร ขณะที่องค์เจดีย์หนัก 19.45 ตัน สูง 3.11 เมตร รวมก้อนหินกับเจดีย์หนักรวมกัน 630.9 ตัน ซึ่งคณะสำรวจมีความเห็นว่าน้ำหนักขององค์เจดีย์ไม่มีผลต่อการตั้งอยู่ของก้อนหิน อย่างไรก็ตาม คณะสำรวจไม่สามารถยืนยันฟันธงได้ 100% ว่าแท้ที่จริงแล้วหินก้อนนี้ตั้งอยู่ได้อย่างไร? นอกจากข้อสังเกตบางประการคือ 1.จุดศูนย์ถ่วงของก้อนหินและพระเจดีย์ (Centre of Gravity) ยังตั้งอยู่ตรงจุดสัมผัสของก้อนหินราว 0.7 ตร.ม. คิดเป็นเพียง 1.4% ของพื้นที่ก้อนหินด้านล่าง ซึ่งถือว่ามีจุดสัมผัสน้อยมาก 2.หินก้อนนี้รับแรงปะทะตามแนวขวางได้ราว 46.6 ตัน และรับแรงปะทะจากลมพายุได้ไม่เกิน 6.5 ตัน หมายความว่าถ้าเจอลมพายุเกินกว่านี้ ก้อนหินอาจเขยื้อนหล่นลงได้ ซึ่งข้อสังเกตนี้ตรงกับความเห็นของ ดร.บัญชา พนเจริญสวัสดิ์ แห่งภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ให้สัมภาษณ์ผมไว้ตั้งแต่ปี 2540 ว่าก้อนหินตั้งอยู่ได้เพราะจุดศูนย์กลางมวลหรือจุดศูนย์ถ่วงยังอยู่บนฐานหรือบนหน้าผา ประกอบกับแรงลมที่มาปะทะยังไม่มากพอ นั่นคือถ้าแรงเสียดทานที่มากระทำยังมีไม่เกินกว่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานของก้อนหิน หรือไม่มากพอที่จะทำให้จุดศูนย์กลางมวลหลุดจากฐานได้ ก้อนหินก็จะไม่ตกลงมา ส่วนเรื่องที่ก้อนหินขยับได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันไม่เสถียร คือก้อนหินมีจุดที่แตะบ้าง -ไม่แตะบ้างกับฐานหน้าผา แต่ก็ไม่มีผล ตราบเท่าที่จุดศูนย์กลางมวลยังไม่หลุด ฟังทัศนะของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ทำให้ได้ข้อคิดว่า...สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด... คือมองด้วยตาเปล่า ก้อนหินมันตั้งหมิ่นเหม่ แต่ความเป็นจริง ส่วนของก้อนหินที่อยู่บนฐานหน้าผา แม้ดูน้อยกว่า แต่อาจมีน้ำหนักมากกว่า ก้อนหินจึงไม่หล่นลงมา ในทางตรงกันข้าม ถ้าความเชื่อว่าหินก้อนนี้ไม่มีวันหล่น เพราะพระอินทร์จับแขวนไว้ มันหล่อเลี้ยงจิตใจคนให้มีกำลังใจที่จะทำความดี รังสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม ส่งผลให้สังคมสงบสุข... บางที สิ่งที่คนเชื่อ ก็อาจไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หาความจริงเสมอไป เหมือนคุณยายท่านนั้น ที่มีความสุขกับการเดินทางแสวงบุญ เสียจนกระทั่งผมถามว่า คุณยายอยู่ใกล้ทะเล เคยไปเที่ยวทะเลไหม แกตอบผมได้โดนใจมากว่า...
ทะเลมันไม่มีวัดให้ยายไปทำบุญ แล้วจะไป (ให้โง่) ทำไมล่ะไอ้หลานเอ้ย ?!?

เคยมีคนเอาหลอดกาแฟยาวสักคืบไปสอดค้ำไว้ข้างใต้ แล้วใช้ไหล่ดันจนก้อนหินโคลงเคลงเล็กน้อย หลอดกาแฟก็ยวบยาบให้ผมเห็นกับตามาแล้ว (ปัจจุบันรัฐบาลพม่าสั่งห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด) การตั้งอยู่อย่างน่าประหลาดใจของก้อนหินแห่งศรัทธา ทำให้คนรุ่นใหม่ตั้งสมมุติฐานคาดเดาไปต่างๆ นานา อาทิ บริเวณนั้นมีแรงแม่เหล็กดึงดูดก้อนหินไว้ บ้างว่าตรงกลางมีแกนเหล็กที่คนโบราณสร้างไว้แล้วยกหินก้อนนี้มาสวมครอบไว้ บ้างว่าเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว บริเวณนี้เคยเป็นพื้นโลกใต้ทะเล หินก้อนนี้อาจตั้งอยู่โดยมีกรวดทรายหนุนไว้ ก่อนเปลือกโลกจะดันตัวขึ้นมากลายเป็นภูเขา ก้อนหินจึงแลดูตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ และยังมีอีกหลายทฤษฎีที่เพียรพยายามจะไขปริศนาก้อนหินแห่งศรัทธาก้อนนี้

แต่ที่น่าสนใจคือนักวิชาการพม่าอธิบายความน่าอัศจรรย์ใจนี้อย่างไร? ในหนังสือ “ประวัติพระธาตุอินทร์แขวน” (The History of Kyaik hti yo Pagoda) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โปปา กล่าวถึงรายงานการสำรวจพระธาตุอินทร์แขวนอย่างเป็นทางการตามคำสั่งรัฐบาลพม่า เมื่อปี 2544 โดยคณาจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งกรุงย่างกุ้ง ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจคือ หินก้อนนี้เป็นหินแกรนิต น้ำหนัก 611.45 ตัน สูง 8.15 เมตร แต่มีจุดสัมผัส (Contact Area) เพียง 0.714 ตารางเมตร หรือไม่ถึง 1 ตารางเมตร ขณะที่องค์เจดีย์หนัก 19.45 ตัน สูง 3.11 เมตร รวมก้อนหินกับเจดีย์หนักรวมกัน 630.9 ตัน ซึ่งคณะสำรวจมีความเห็นว่าน้ำหนักขององค์เจดีย์ไม่มีผลต่อการตั้งอยู่ของก้อนหิน อย่างไรก็ตาม คณะสำรวจไม่สามารถยืนยันฟันธงได้ 100% ว่าแท้ที่จริงแล้วหินก้อนนี้ตั้งอยู่ได้อย่างไร? นอกจากข้อสังเกตบางประการคือ 1.จุดศูนย์ถ่วงของก้อนหินและพระเจดีย์ (Centre of Gravity) ยังตั้งอยู่ตรงจุดสัมผัสของก้อนหินราว 0.7 ตร.ม. คิดเป็นเพียง 1.4% ของพื้นที่ก้อนหินด้านล่าง ซึ่งถือว่ามีจุดสัมผัสน้อยมาก 2.หินก้อนนี้รับแรงปะทะตามแนวขวางได้ราว 46.6 ตัน และรับแรงปะทะจากลมพายุได้ไม่เกิน 6.5 ตัน หมายความว่าถ้าเจอลมพายุเกินกว่านี้ ก้อนหินอาจเขยื้อนหล่นลงได้ ซึ่งข้อสังเกตนี้ตรงกับความเห็นของ ดร.บัญชา พนเจริญสวัสดิ์ แห่งภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ให้สัมภาษณ์ผมไว้ตั้งแต่ปี 2540 ว่าก้อนหินตั้งอยู่ได้เพราะจุดศูนย์กลางมวลหรือจุดศูนย์ถ่วงยังอยู่บนฐานหรือบนหน้าผา ประกอบกับแรงลมที่มาปะทะยังไม่มากพอ นั่นคือถ้าแรงเสียดทานที่มากระทำยังมีไม่เกินกว่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานของก้อนหิน หรือไม่มากพอที่จะทำให้จุดศูนย์กลางมวลหลุดจากฐานได้ ก้อนหินก็จะไม่ตกลงมา ส่วนเรื่องที่ก้อนหินขยับได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันไม่เสถียร คือก้อนหินมีจุดที่แตะบ้าง -ไม่แตะบ้างกับฐานหน้าผา แต่ก็ไม่มีผล ตราบเท่าที่จุดศูนย์กลางมวลยังไม่หลุด ฟังทัศนะของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ทำให้ได้ข้อคิดว่า...สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด... คือมองด้วยตาเปล่า ก้อนหินมันตั้งหมิ่นเหม่ แต่ความเป็นจริง ส่วนของก้อนหินที่อยู่บนฐานหน้าผา แม้ดูน้อยกว่า แต่อาจมีน้ำหนักมากกว่า ก้อนหินจึงไม่หล่นลงมา ในทางตรงกันข้าม ถ้าความเชื่อว่าหินก้อนนี้ไม่มีวันหล่น เพราะพระอินทร์จับแขวนไว้ มันหล่อเลี้ยงจิตใจคนให้มีกำลังใจที่จะทำความดี รังสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม ส่งผลให้สังคมสงบสุข... บางที สิ่งที่คนเชื่อ ก็อาจไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หาความจริงเสมอไป เหมือนคุณยายท่านนั้น ที่มีความสุขกับการเดินทางแสวงบุญ เสียจนกระทั่งผมถามว่า คุณยายอยู่ใกล้ทะเล เคยไปเที่ยวทะเลไหม แกตอบผมได้โดนใจมากว่า...
ทะเลมันไม่มีวัดให้ยายไปทำบุญ แล้วจะไป (ให้โง่) ทำไมล่ะไอ้หลานเอ้ย ?!?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น