วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แผนที่โลกใหม่ เป็นไปได้จริงหรือ

แผนที่โลกใหม่ หลังน้ำท่วมโลก เป็นไปได้จริงหรือ?

นายกอร์ดอน ไมเคิล สคัลเลียน
แผนที่โลกใหม่ หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
  


  
แผนที่ประเทศไทยหลังจากปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ.2555)    

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก moeipit.com

         เรื่องที่กลายเป็นประเด็นสาธารณะ และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางที่สุดใน พ.ศ.นี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "น้ำท่วมโลก" ที่จะกลายเป็น "วันสิ้นโลก" ตามที่มีผู้เคยทำนายทายทักไว้ว่า จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ.2012 ผนวกกับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มนุษย์โลกได้เผชิญกับสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ๆ ก็ยิ่งทำให้คนตื่นตระหนกกับ "วันสิ้นโลก" มากขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นแล้ว จึงไม่แปลก หากคนจะกลับมาพูดถึงเรื่อง "แผนที่โลกใหม่" (Future Map of the World) ที่เคยมีผู้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้า ว่าจะเหลือประเทศใดบ้างหลังผ่านเหตุการณ์ภัยพิบัติของโลก ในปี ค.ศ.2012 ไปแล้ว

          และผู้ที่ทำนายเรื่อง "แผนที่โลกใหม่" ไว้ก็คือ นายกอร์ดอน ไมเคิล สคัลเลียน ชายชาวอเมริกัน ซึ่งเคยเกือบเสียชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ หลังจากนั้น เขาก็อ้างว่าได้รับพรสวรรค์เรื่องการหยั่งรู้อนาคต และยังเคยทำนายเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ถูกต้องหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอสแองเจอลิส แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535), เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแลนเดอร์ส (Landers) และ บิ๊กแบร์ (Big Bear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) รวมทั้งแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) เป็นต้น

          สำหรับเรื่อง "น้ำท่วมโลก" นั้น นายกอร์ดอน บอกว่า ตนได้มองเห็นตัวเองอยู่สูงขึ้นไปในอวกาศ แล้วมองกลับลงมาบนโลกเห็นแผนที่ใหม่ของโลก จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี เขาก็ยังเห็นภาพเดิม ๆ อีก จึงได้สร้างแผนที่โลกใหม่ หรือ Future Map Of The World ขึ้นมา เมื่อปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) และจัดพิมพ์ในปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) โดยระบุว่า จะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ ๆ ในโลกระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 (พ.ศ.2541-2555) ทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด รวมไปถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จนทำให้หลายประเทศหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศที่เป็นเกาะอยู่แล้วจะจมน้ำทั้งหมด และมีประชากรหลงเหลือเพียงแค่ 10% เท่านั้น

          และเมื่อพิจารณา "แผนที่โลกใหม่" ของนายกอร์ดอนแล้ว จะเห็นได้ว่า แต่ละทวีปเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดย

ทวีปเอเซีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปเอเชีย

          ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะอยู่ในแนว "วงแหวนแห่งไฟ" และเขตรอยต่อของเปลือกโลก นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ประเทศฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไล่ขึ้นไปถึงทะเลแบริ่งที่เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับประเทศรัสเซีย ทำให้เกาะของประเทศญี่ปุ่นจมทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ที่จะถูกน้ำกลืนไปทั้งหมด

          ส่วนไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะจมหายไปในทะเลด้วย ขณะที่แนวฝั่งของประเทศจีนจะเลื่อนเข้าไปในแผ่นดินอีกหลายร้อยไมล์ ด้านอินโดนีเซียจะเกิดเกาะใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่เกาะที่มีอยู่ก่อนหน้าก็จะจมหายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากแผ่นเปลือกโลกที่เคลื่อนตัว ทำให้เกิดการมุดตัว  ยกตัวของแผ่นดิน

          สำหรับประเทศไทย นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเหลือเพียงแค่ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน และภาคกลางตอนบนเท่านั้น จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ตาก จะกลายเป็นชายฝั่งทะเล ขณะที่จังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง คือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มุกดาหาร นครพนม หนองคาย จะจมทะเลไปหมด และแม่น้ำโขงจะเปลี่ยนเป็นทะเลไปด้วย

          ขณะที่ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก ภาคใต้ รวมทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ จะถูกน้ำท่วมจมหายไปจนหมดเช่นกัน


ทวีปออสเตรเลีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปออสเตรเลีย

          ประเทศออสเตรเลียจะสูญเสียแผ่นดินไปประมาณ 25% เพราะน้ำท่วมชายฝั่งเกือลหมด และจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาที่นอกชายฝั่งที่บริเวณช่องแคบบาสส์เชื่อมกับเกาะทาสเมเนีย ส่วนประเทศนิวซีแลนด์ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะเกิดจากการยกตัวของแผ่นดินที่เป็นผลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และมีแผ่นดินบางส่วนเชื่อมต่อกับประเทศออสเตรเลียด้วย


ทวีปยุโรป หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปยุโรป

          ประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กจะถูกน้ำท่วม เหลือเพียงเกาะเล็ก ๆ น้อย ๆ นับร้อยเกาะ ขณะที่สหราชอาณาจักร ตั้งแต่สกอตแลนด์จนถึงช่องแคบจะจมหายไปในทะเลทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น

          ประเทศรัสเซียจะแยกตัวออกจากทวีปยุโรป เพราะทะเลสาบแคสเปียน ทะเลดำ ทะเลคารา ทะเลบอสติก จะมารวมเข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็นทะเลขนาดใหญ่แห่งใหม่ ถูกแบ่งด้วยเทือกเขาอูราล ยาวไปถึงแม่น้ำเยนิเซในไซบีเรีย ตรงนี้อุณหภูมิจะอบอุ่นขึ้น กลายเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในอนาคต

          ประเทศบัลแกเรีย และโรมาเนียจะจมอยู่ใต้น้ำ เพราะทะเลดำขยายตัวไปรวมกับทะเลทางตอนเหนือ ประเทศฝรั่งเศสจมน้ำทั้งหมด เหลือแค่เกาะในกรุงปารีส และเกิดทางน้ำใหม่แยกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ออกจากประเทศฝรั่งเศส ส่วนประเทศอิตาลี ซึ่งมีพื้นที่ต่ำอยู่แล้วจะจมน้ำทั้งหมด ยกเว้นนครรัฐวาติกันที่อยู่ที่สูงจะปลอดภัย และแผ่นดินสูง ๆ จะกลายเป็นเกาะ เกิดแผ่นดินใหม่ทอดยาวจากเกาะซิซิลิไปจนถึงเกาะซาร์ดิเนีย

          นอกจากนี้ นายกอร์ดอน ยังทำนายด้วยว่า จะเกิดสงครามศาสนาในดินแดนโปแลนด์ เรื่อยไปถึงตุรกี แต่สงครามจะยุติลงด้วยความบริสุทธิ์ของแผ่นดินโดยไฟและน้ำ ขณะที่ตุรกีด้านตะวันตกจะจมอยู่ในน้ำ เกิดแนวชายฝั่งใหม่จากเมืองอีสตันบูลถึงไซปรัส ส่วนใหญ่ของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองจมลงสู่ใต้ทะเล ก่อให้เกิดเกาะเล็ก ๆ ขึ้น


ทวีปแอฟริกา หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปแอฟริกา

          ทวีปแอฟริกาจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยมีแม่น้ำไนล์ซึ่งกว้างกว่าเดิมมากเป็นตัวแบ่งเขต โดยแม่น้ำไนล์นี้ จะวางอยู่ในรูปตัว Y ของกลางทวีป และไหลผ่านเส้นทางใหม่ คือ ไหลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตรงปากแม่น้ำไนล์ ผ่านประเทศซูดาน และมีต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้

          ขณะที่ทะเลแดง ซึ่งอยู่ตอนเหนือของทวีปจะขยายกว้างขึ้น ทำให้กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และเกาะมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดจมลงสู่ทะเล ทะเลสาบวิคทอเรียจะรวมเข้ากับทะเลสาบนยาซาไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย

          นอกจากนี้ ยังมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นในทะเลอาหรับ บริเวณตอนใต้ของประเทศโอมาน และยังมีแผ่นดินขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณทางเหนือและตะวันตกของเมืองเคปทาวน์ด้วย


ทวีปอเมริกาเหนือ

          อ่าวฮัดสันในประเทศแคนาดาจะขยายตัวออกกลายเป็นทะเลปิดในประเทศ พื้นดินบริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจะต้องถอยร่นเข้ามาในแผ่นดินอีก 200 ไมล์ เพราะพื้นที่เก่าถูกน้ำท่วมไปจนหมด ส่วนชาวเมืองที่อาศัยแถบบริติชโคลัมเบีย และอะแลสกา จะต้องอพยพมาอยู่ในควิเบก ออนตาริโอ มานิโตบา ซาสแกนเซวัน แอลเบอร์ตา จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ที่รอดพ้นหายนะระหว่างการเปลี่ยนแปลงในตอนต้น

          ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นที่แรกของโลก โดยแผ่นทวีปอเมริกาเหนือจะเกิดการโก่งตัว เกิดหมู่เกาะแคลิฟอร์เนียขึ้นอีก 150 เกาะ ต่อมาแผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งที่มุดตัวลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง จะทำให้เกิดแนวโก่งตัวและรอยแยก นำไปสู่อุทกภัย ทำให้ ฝั่งทะเลด้านตะวันตกหดลงไปทางตะวันออกสู่รัฐเนเบรสกา ไวโอมิง และโคโลราโด ส่วนทะเลสาบ เกรทเลค (ประกอบด้วยทะเลสาบสุพิเรีย, ฮูรอน, มิชิแกน, อิรี และออนแตริโอ) และแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์จะเชื่อมต่อเข้ากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไหลลงสู่อ่าว

          ขณะที่ประเทศเม็กซิโก น้ำจะท่วมจากชายฝั่งเข้ามาในแผ่นดิน ทำให้คาบสมุทรแคลิฟอร์เนียกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่ของยูคาทาน พีนิซูลาจะหายไปในทะเล และจะเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ศตวรรษ

          ประเทศในอเมริกากลางและแคริบเบียนจะเกิดอุทกภัย จำนวนเกาะลดลง จะมีเส้นทางน้ำใหม่เกิดขึ้นจากอ่าวฮอนดูรัสไปออกที่เอลซัลวาดอร์ ส่วนคลองปานามาจะกลายเป็นคลองตัน


ทวีปอเมริกาใต้

          เนื่องจากมีหลายประเทศอยู่ในพื้นที่ "วงแหวนแห่งไฟ" ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทวีปอเมริกาใต้มากไม่แพ้ทวีปเอเชีย โดยจะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดในประเทศเวเนซุเอลา โคลัมเบีย และบราซิล จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในลุ่มน้ำอะเมซอนที่ประเทศเปรู และโบลิเวีย กลายเป็นทะเลในภายในทวีป ส่วนประเทศซานวาดอร์ เซาเปาโล ริโอดอร์จาเนโร และบางส่วนของ อุรุกวัย จะจมหายไปในทะเล

          ส่วนเมืองซัลวาดอร์ เซาเปาโล ริโอเดอร์จาเนโร ของประเทศบราซิล และบางส่วนของประเทศอุรุกวัยจะจมหายไปในทะเล ขณะที่ประเทศอาร์เจนตินาจะเกิดทะเลปิดขึ้นในตอนกลางของประเทศ และยังเกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ทางตะวันตกของทวีป บริเวณประเทศชิลี รวมทั้งเกิดทะเลปิดขึ้นในบริเวณนั้นอีกแห่งด้วย

บทความเรื่อง แผนที่โลกใหม่ ตั้งแต่ พศ 2546


หมอประสานทำนาย 2012 น้ำท่วมโลก
นักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์ไปทำการสำรวจและตามติด แล้วสรุปผลการละลายของน้ำแข็งเฉพาะที่กรีนแลนด์อย่างเดียวมีปริมาณเท่ากับ 1 ล้านตันต่อวัน ถ้าคำนวณการใช้น้ำของคนในนิวยอร์กในเวลา 1 เดือนจะเท่ากับน้ำที่ละลายในกรีนแลนด์ 1 วัน น้ำทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกก็จะละลายหมดหรือใกล้หมดในช่วงเวลาประมาณ 5-7 ปี หากมองว่ากรีนแลนด์ที่อยู่ไกลๆ ขั้วโลกเหนือเป็นการการละลายของน้ำในแก้ว นั้นก็หมายความว่าจะมีน้ำจำนวนมากขึ้นมากกว่าเก่า แล้วบนน้ำแข็งบนยอดเขาหิมาลัย หรือบนยอดเขาต่างๆ รวมทั้งที่ขั้วโลกใต้ซึ่งก็ละลายเช่นเดียวกัน

ขณะที่อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือและใต้สูงกว่าปกติถึง 6 องศาเซลเซียส ปีที่แล้ว 2.5 องศาก็แย่แล้วแต่นี่ขึ้นถึง 6 ถ้ารวมทั้งหมดแล้วน้ำแข็งก่อนยุคอุตสาหกรรมเรามีน้ำแข็ง19 ร้อยล้านตัน ถ้าละลายออกไปวันละ 1 ล้านตัน จะใช้เวลาตามที่ผมคำนวณ 5-7 ปี คือ ประมาณปี 2012 ตัวเลขตรงนี้น่าคิด ซึ่งเป็นตัวเดียวกับตัวเลขที่ชาวเผ่ามายาคำนวณขึ้น (ชาวมายา ได้ทำปฏิทินจำนวน 22 เดือน โลกหมุนเวียนพระอาทิตย์ 365.222 ตรงกับทุกอย่าง ดาราศาสตร์ตรงกับของชาวมายาพอดี แต่พอปี 2012 ทุกอย่างหยุดทั้งหมด) ขณะเดียวกันผู้แสวงหาความรอด ความดีงาม ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีวิกฤตจะมีอกิเลสหรือ เป็นเพราะเราแสวงหาต่างหาก สิ่งนั้นจะกระทบจิตใจของเรา ว่าเรารับได้หรือไม่ เราต้องเรียนรู้ครับ เราเกิดมาเพื่อเรียน โคจรไปเรื่อยๆแต่อย่าเพิ่งตื่นเต้น ทุกสิ่งมันยืดได้และหดได้ ซึ่งนี่เป็นความโชคดี

ดร อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
น้ำท่วมกรุงเทพ




แผนที่พื้นที่ปลอดภัยของประเทศไทย... น้ำท่วมโลก โลกร้อน ...
แผนที่นี้แสดงระดับความสูงทางภูมิศาสตร์ของประเทสไทย โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม มองลงมาจากอวกาศ ที่ระดับความสูง 1000 กม จากพื้นดิน.

โดยกำหนดระดับความสูงด้วยสีต่างๆ เพื่อใช้ในการพยากรณ์พื้นที่น้ำท่วมทั่วประเทศ

ดร อาจอง พูดสำหรับกรุงเทพ แค่ 7 เมตร ก็ไม่เหลือเลย

ระดับความสูง

น้อยกว่า 1 เมตร สีน้ำเงินอ่อน
1 เมตร สีน้ำเงินเข้ม
5 เมตร สีแดง
10 เมตร สีชมพูอ่อน
20 เมตร สีชมพูเข้ม
30 เมตร สีเขียวอ่อน
50 เมตร สีเขียวเข้ม
100 เมตร สีเหลืองอ่อน
200 เมตร สีเหลืองเข้ม
400 เมตร สีส้ม
800 เมตร สีน้ำตาล
1000 เมตร สีขาว

สมมติว่า...

- มีน้ำท่วม 10 เมตร ท่านต้องหลบไปให้พ้นพื้นที่สีชมพูอ่อน
- หากมีน้ำท่วม 20 เมตร ท่านต้องหลบไปให้พ้นพื้นที่สีชมพูเข้ม เป็นต้น





แผนที่โลกใหม่และลางบอกเหตุของการเปลี่ยนแปลง



แผนที่นี้ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Gordon-Michael Scallion มี Web Site ชื่อว่า www.earthchanges.com เนื่องจากเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) นาย Gordon ได้มองเห็นภาพอนาคตของโลกเป็นครั้งแรก โดยมองเห็นตัวเอง อยู่สูงขึ้นไปในอวกาศแล้วมองกลับลงมาบนโลก หลังจากนั้นอีกหลายปีก็เห็นภาพเดิมอีกครั้ง ทำให้เขาสามารถสร้างแผนที่โลกในอนาคตขึ้นมาและพิมพ์ในปี พ.ศ.2525 โดยนาย Gordon เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012(พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) โดยเหตุการณ์จะเกิดจากต้นเหตุสำคัญคือแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอันเนื่องมาจาก แผ่นทวีปของเปลือกโลกเคลื่อน โดยสภาพการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในแต่ละพื้นที่

อยากทราบกันมั้ยคะว่านักวิทยาศาสตร์หรือท่านผู้รู้ที่ทำนายไว้ทั้งหลายเค้าพูดจริงหรือเปล่า เราไปลองศึกษาถึงสาเหตุพร้อมๆกันค่ะ

ลางบอกเหตุของการเปลี่ยนแปลง
ปรากฏการณ์โลกร้อน
อุณหภูมิของบรรยากาศมีความสัมพันธ์ต่อการเปลี่ยนสถานะของน้ำบนโลก อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้อัตราการระเหยของน้ำมากขึ้น รวมถึงอัตราการหลอมละลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ถ้าหากอุณหภูมิของบรรยากาศลดต่ำลง อัตราการควบแน่นของไอน้ำในบรรยากาศก็จะมากขึ้น รวมถึงอัตราการเยือกแข็งของน้ำในมหาสมุทรก็จะมากขึ้นเช่นกัน กราฟแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของอุณหภูมิของบรรยากาศและระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรในช่วงศตวรรษที่แล้ว จะเห็นได้ว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2450 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิของบรรยากาศที่สูงขึ้น เนื่องจากการเพิ่มปริมาณของก๊าซเรือนกระจก และถ้าหากอัตราการเพิ่มของก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกจะค่อยๆละลายทำให้น้ำสูงขึ้น

ปรากฏการณ์ลานีญ่า

ปรากฏการณ์ “ลานีญ่า” มีความเชื่อมโยงกับความแปรปรวนของภูมิอากาศ อันมีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน ทำให้กระแสน้ำในทะเลแปรปรวน และเกิดฝนตกหนักบางบริเวณ

ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกหรือขั้วแม่เหล็กเคลื่อนตัว

ที่ผ่านมาขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่ไปมาแต่อยู่ในจุดที่เป็นไปตามธรรมชาติ และหากเคลื่อนออกไปจากเดิม 10-20 กิโลเมตร ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเคลื่อนมากไม่จำเป็นต้องสลับจากขั้วโลกเหนือไปใต้แค่เพียงเคลื่อน 1,000 กิโลเมตรก็เกิดผลกระทบต่อโลกมหาศาลแล้ว

แผ่นดินไหวกับความสูญเสีย

ในบางประเทศ การเกิดแผ่นดินไหวถือเป็นเรื่องปกติ แต่นั่นก็เป็นการเกิดที่มีความรุนแรงไม่มากนัก เราลองย้อนไปดูในอดีตประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา มีแผ่นดินไหวหลายครั้งที่ทำความเสียหายให้แก่ประเทศต่าง ๆ เช่น
20 ก.ค.2519 แผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ ที่เมืองตังชาน มณฑลเหอเป่ย ของจีน มีคนตาย 242,000 คน บาดเจ็บ 164,000 คน
19 ก.ย. 2528 แผ่นดินไหวขนาด 8.1 ริกเตอร์ ที่ประเทศแม็กซิโก มีคนตายมากกว่า 100,000 คน
7 ธ.ค. 2531 แผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ ที่อาร์มาเนีย มีคนตายมากกว่า 25,000 คน
21 มิ.ย. 2533 แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่อิหร่าน มีคนตายมากกว่า 40,000 คน
30 ก.ย. 2536 แผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ ที่อินเดีย มีคนตายประมาณ 10,000 คน
17 ม.ค. 2538 แผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ ที่โกเบ – โอซาก้า ญี่ปุ่น มีคนตายประมาณ 6,400 คน
10 พ.ค. 2540 แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ ที่ทางตะวันตกของอิหร่าน มีคนตาย 16,130 คน บาดเจ็บ 37,120 คน
4 ก.พ. 2541 แผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ ที่อัฟกานิสถาน มีคนตายประมาณ 4,000 คน
30 พ.ค. 2541 แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ ที่อัฟกานิสถานเช่นเดิม มีคนตายประมาณ 5,000 คน
17 ส.ค. 2542 แผ่นดินไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์ เกิดที่ตุรกี มีผู้เสียชีวิต 15,613 คน บาดเจ็บประมาณ 25,000 คน
26 ม.ค. 2544 แผ่นดินไหวขนาด 7.9 ริกเตอร์ เกิดที่รัฐคุชราช อินเดีย มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20,000 คน มีผู้บาดเจ็บมากกว่า 160,000 คน
25 ม.ค. 2545 แผ่นดินไหวขนาด 6.0 ริกเตอร์ เกิดที่อัฟกานิสถาน มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,000 คน
21 พ.ค. 2546 แผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ เกิดที่เมืองแอลเจียร์ ประเทศแอลจีเรีย มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,000 คน มีผู้บาดเจ็บประมาณ 10,000 คน
26 ธ.ค. 2546 แผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ เกิดที่เมืองบาม ประเทศอิหร่าน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 31,000 คน บาดเจ็บมากกว่า 18,000 คน

ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์เล็กๆ ที่เคยเกิดในอดีต แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่าเนื่องมาจากการเกิดปรากฏการณ์อื่นๆ ก็จะทำให้สามารถเกิดการสั่นไหวมากจนกลายเป็นความหายนะเกินจะที่ทนรับได้แน่นอน

หลัง จาก 2546 จนปัจจุบัีน ก็ได้พิสูจน์ถึงภัยพิบัติ ซึ่งค่อนข้างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ แผ่นดินไหว ปี 2554 (คศ 2011) เราเจอ 9 ริกเตอร์กว่า ล่าสุดก็ที่ญี่ปุ่น



NASA ปิดข่าว

เพราะกลัวว่าถ้าประกาศข่าวนี้แก่ชาวโลกรู้ท่านลองคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อท่านรู้ตัวว่าจะตายในอีกไม่กี่ปีข้าวหน้า ท่านจะใช้ชีวิตที่สุดเหวี่ยงเลยใช่มะ

โลกจะเกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้น 80% โลกทั้งโลกจะวุ่นวาย

เค้าเลยปิดเป็นความลับ (เฮอๆดีเน้อ) แต่นักดาราศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และอุกกาบาต เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหัส 2 เท่า!!!(ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)

ข่าวใหม่ล่าสุด 23 พ.ค. 2552 ช่อง 11 (4 ทุ่ม) มีการคุยเรื่อง ภัยพิบัติล้างโลก 2012 อาจารย์ สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้วชาญไฮโดรเจน จากองค์การนาซ่า และเป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ Hydrogen ในประเทศไทย ด้วยวิธีการใช้ไฟฟ้าแยกน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง

อาจารย์ สุมิตร" ทำงานในองค์การ NASA

ในสายงานคือ ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก

เพื่อสร้างยานอวกาศ เพื่ออพยพผู้คนจาก อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 (แต่รู้ในวงจำกัด)

"อาจารย์ สุมิตร" ยืนยันว่าอีก 3 ปี ข้างหน้านี้

โลกกำลังจะเกิดหายนะขึ้น

จากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 แน่นอน


และคนในองค์การ NASA ทุกคนทราบเรื่องนี้มานานแล้ว

แล้วได้สร้างยานอวกาศเพื่ออพยพผู้คนจาก

อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 ใกล้เสร็จแล้ว

(แต่ "อาจารย์ สุมิตร" ไม่ได้บอกว่าสร้างไว้กี่ลำ)


"อาจารย์ สุมิตร" ยังยืนยันด้วยว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นมีจริง

ปัจจุบันมีมนุษย์ต่างดาวมาทำงานร่วมกับองค์การ NASA โดยสื่อสารทาง "โทรจิต"

ในการถ่ายทอดความรู้ทางเทคโนโลยี เพื่อช่วยมนุษย์จากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012

(มนุษย์บางคนเท่านั้นที่ถูกเลือกให้รอด)

"อาจารย์ สุมิตร" ยังยืนยันด้วยว่าโลกมนุษย์เรา ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ในจักรวาลอื่นๆ ก็มีมนุษย์ต่างดาวประมาณ 200 จักรวาล ซึ่งโลกของเราเป็นเพียงจักรวาลเล็กๆ 1 จักรวาล เท่านั้น เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวหรอกนะ

"อาจารย์ สุมิตร" บอกว่า มนุษย์โลกสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานแล้วโดยทาง "โทรจิต" แต่ทาง "สหรัฐอเมริกา" นั้นค่อนข้างปกปิด เรื่องนี้ ทำให้คนส่วนมากในโลกไม่รู้ ในเมื่อไม่รู้ ก็จะมองว่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องเหลวไหล "อาจารย์ สุมิตร" เป็นนักวิทยาศาสตร์องค์การ NASA มาหลายปีแล้ว ท่านเคยไปบอกให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ของไทยควรเร่งสร้างยานอวกาศ เพื่ออพยพคนไทยจากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 โดยเร็ว เพราะ "คุณสุวิช" มีเทคโนโลยีในการสร้างแล้ว ขาดก็แต่งบประมาณเท่านั้น แต่กลับไม่มีใครเชื่อ แถมมองว่าท่านเป็นบ้าอีกด้วย พวกฝรั่งเขารู้กันมานาน เขาสร้างยานอวกาศเพื่ออพยพผู้คนจากอุทกภัยน้ำท่วมโลกในค.ศ. 2012 เกือบเสร็จแล้ว แต่คนไทยยังไม่เชื่อ จะจมน้ำตายกันอยู่แล้ว ไม่รู้วันๆ คนไทยทำอะไรกันอยู่ น่าสงสารคนไทยจริงๆ"อาจารย์ สุมิตร" ยืนยันว่าอีก 3 ปี ข้างหน้านี้ โลกกำลังจะเกิดหายนะขึ้นจากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 แน่นอน นี่เป็นเรื่องจริง ที่ฝรั่งเค้าตื่นตัวกันมาก โดยเฉพาะในหมู่นักวิทยาศาสตร์อวกาศ แต่คนไทยเกือบทั้งหมดยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ น่าสงสารคนไทยจริงๆ"อาจารย์ สุมิตร" กล่าวว่า คนไทยน่าจะเลิกทะเลาะกันได้แล้ว อีก 3 ปี ได้จมน้ำตายแน่ๆ เพราะอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012นั้นเป็นวันหายนะที่ร้ายแรงมาก ร้ายแรงขนาดล้างโลกเลยทีเดียว ไม่งั้นมนุษย์ต่างดาวเค้าคงไม่มาทำงานร่วมกับองค์การ NASA เพื่อช่วยในการสร้างยานอพยพผู้คนในครั้งนี้เป็นแน่นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เพราะ อาจารย์ สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นนักวิทยาศาสตร์องค์การ NASA จริง มีตัวตนจริงๆ
ลองหาข้อมูลของ อาจารย์ สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ใน Google ดูนะ

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไขปริศนาก้อนหินแห่งศรัทธา



ก้อนหินแห่งศรัทธาที่ชาวมอญ-พม่า เรียกขานว่า ไจ้ติโยหรือ พระธาตุอินทร์แขวนเป็น 1 ใน 3 มหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแห่งลุ่มอิระวดี เคียงคู่มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง และพระมหามัยมุนี กรุงมัณฑะเลย์ หินหนักกว่า 600 ตันก้อนนี้ ตั้งอยู่บนหน้าผาหินบนภูเขาปองลอง เขตเมืองไจ้โถ่ ในรัฐมอญของพม่า ตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ว่าจะตกมิตกแหล่ เพราะมองด้วยสายตาแล้ว กว่าครึ่งของเนื้อก้อนหินนั้นยื่นออกมานอกหน้าผา แถมหน้าผายังลาดเอียงลงต่ำ มิได้ยื่นและพุ่งขึ้นสูงเหมือนภูชี้ฟ้าที่เชียงรายบ้านเรา แล้วยังมีการสร้างองค์เจดีย์ตั้งไว้บนก้อนหิน เพิ่มน้ำหนักกดทับเข้าไปอีก จำได้ว่าเคยถามคุณยายชาวพม่าจากเมืองหงสาวดีท่านหนึ่ง ว่าคุณยายคิดอย่างไรกับหินก้อนนี้ จะร่วงหล่นลงมาในวันใดวันหนึ่งหรือไม่ ? คำตอบผ่านล่ามที่ผมได้รับพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึงของคุณยาย คือมันไม่มีวันตกลงมาดอกหลายเอ้ย เพราะพระอินทร์ท่านจับแขวนไว้ให้เราได้กราบไหว้กัน เดาจากสีหน้าท่าทางแล้ว คุณยายคงอยากบอกผมว่า...แกนี่ปากเสีย พูดอะไรไม่เป็นมงคล... มากกว่า

เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ชาวมอญ พม่า ล้านนา เชื่อว่าบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นวิมานที่ประทับของพระอินทร์ มีเจดีย์หรือพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่องค์หนึ่ง ภายในประดิษฐานเส้นพระเกศาส่วนพระเมาลี หรือมวยผมที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดออกในคราวออกบวช ก่อนจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงเรียกกันว่า พระเกศแก้วจุฬามณีถือเป็นเจดีย์ประจำคนที่เกิดปีจอ แต่เมื่อตั้งอยู่บนดาวดึงส์สวรรค์ ชาวพุทธไม่สามารถขึ้นไปกราบไหว้ได้ อย่างมากก็จุดโคมไฟลอยขึ้นไปถวายเป็นพุทธบูชา พระอินทร์จึงมีเมตตาจับก้อนหินประหลาดก้อนนี้แขวนลอยไว้ให้สร้างพระเกศแก้วจุฬามณีจำลองไว้บนโลกมนุษย์ หินก้อนนี้จึงไม่มีวันตกลงมา แถมเชื่อกันว่าคนมีบุญเอาไก่ทั้งตัวลอดใต้ก้อนหินได้ เพราะหากดูรูปทรงแล้ว ส่วนฐานของหินก้อนนี้แตะผิวพื้นหน้าผาเพียงบางส่วนเท่านั้น


 เคยมีคนเอาหลอดกาแฟยาวสักคืบไปสอดค้ำไว้ข้างใต้ แล้วใช้ไหล่ดันจนก้อนหินโคลงเคลงเล็กน้อย หลอดกาแฟก็ยวบยาบให้ผมเห็นกับตามาแล้ว (ปัจจุบันรัฐบาลพม่าสั่งห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด) การตั้งอยู่อย่างน่าประหลาดใจของก้อนหินแห่งศรัทธา ทำให้คนรุ่นใหม่ตั้งสมมุติฐานคาดเดาไปต่างๆ นานา อาทิ บริเวณนั้นมีแรงแม่เหล็กดึงดูดก้อนหินไว้ บ้างว่าตรงกลางมีแกนเหล็กที่คนโบราณสร้างไว้แล้วยกหินก้อนนี้มาสวมครอบไว้ บ้างว่าเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว บริเวณนี้เคยเป็นพื้นโลกใต้ทะเล หินก้อนนี้อาจตั้งอยู่โดยมีกรวดทรายหนุนไว้ ก่อนเปลือกโลกจะดันตัวขึ้นมากลายเป็นภูเขา ก้อนหินจึงแลดูตั้งอยู่อย่างหมิ่นเหม่ และยังมีอีกหลายทฤษฎีที่เพียรพยายามจะไขปริศนาก้อนหินแห่งศรัทธาก้อนนี้


 แต่ที่น่าสนใจคือนักวิชาการพม่าอธิบายความน่าอัศจรรย์ใจนี้อย่างไร? ในหนังสือ ประวัติพระธาตุอินทร์แขวน” (The History of Kyaik hti yo Pagoda) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โปปา กล่าวถึงรายงานการสำรวจพระธาตุอินทร์แขวนอย่างเป็นทางการตามคำสั่งรัฐบาลพม่า เมื่อปี 2544 โดยคณาจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งกรุงย่างกุ้ง ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจคือ หินก้อนนี้เป็นหินแกรนิต น้ำหนัก 611.45 ตัน สูง 8.15 เมตร แต่มีจุดสัมผัส (Contact Area) เพียง 0.714 ตารางเมตร หรือไม่ถึง 1 ตารางเมตร ขณะที่องค์เจดีย์หนัก 19.45 ตัน สูง 3.11 เมตร รวมก้อนหินกับเจดีย์หนักรวมกัน 630.9 ตัน ซึ่งคณะสำรวจมีความเห็นว่าน้ำหนักขององค์เจดีย์ไม่มีผลต่อการตั้งอยู่ของก้อนหิน อย่างไรก็ตาม คณะสำรวจไม่สามารถยืนยันฟันธงได้ 100% ว่าแท้ที่จริงแล้วหินก้อนนี้ตั้งอยู่ได้อย่างไร? นอกจากข้อสังเกตบางประการคือ 1.จุดศูนย์ถ่วงของก้อนหินและพระเจดีย์ (Centre of Gravity) ยังตั้งอยู่ตรงจุดสัมผัสของก้อนหินราว 0.7 ตร.ม. คิดเป็นเพียง 1.4% ของพื้นที่ก้อนหินด้านล่าง ซึ่งถือว่ามีจุดสัมผัสน้อยมาก 2.หินก้อนนี้รับแรงปะทะตามแนวขวางได้ราว 46.6 ตัน และรับแรงปะทะจากลมพายุได้ไม่เกิน 6.5 ตัน หมายความว่าถ้าเจอลมพายุเกินกว่านี้ ก้อนหินอาจเขยื้อนหล่นลงได้ ซึ่งข้อสังเกตนี้ตรงกับความเห็นของ ดร.บัญชา พนเจริญสวัสดิ์ แห่งภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ให้สัมภาษณ์ผมไว้ตั้งแต่ปี 2540 ว่าก้อนหินตั้งอยู่ได้เพราะจุดศูนย์กลางมวลหรือจุดศูนย์ถ่วงยังอยู่บนฐานหรือบนหน้าผา ประกอบกับแรงลมที่มาปะทะยังไม่มากพอ นั่นคือถ้าแรงเสียดทานที่มากระทำยังมีไม่เกินกว่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานของก้อนหิน หรือไม่มากพอที่จะทำให้จุดศูนย์กลางมวลหลุดจากฐานได้ ก้อนหินก็จะไม่ตกลงมา ส่วนเรื่องที่ก้อนหินขยับได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันไม่เสถียร คือก้อนหินมีจุดที่แตะบ้าง -ไม่แตะบ้างกับฐานหน้าผา แต่ก็ไม่มีผล ตราบเท่าที่จุดศูนย์กลางมวลยังไม่หลุด ฟังทัศนะของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ทำให้ได้ข้อคิดว่า...สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด... คือมองด้วยตาเปล่า ก้อนหินมันตั้งหมิ่นเหม่ แต่ความเป็นจริง ส่วนของก้อนหินที่อยู่บนฐานหน้าผา แม้ดูน้อยกว่า แต่อาจมีน้ำหนักมากกว่า ก้อนหินจึงไม่หล่นลงมา ในทางตรงกันข้าม ถ้าความเชื่อว่าหินก้อนนี้ไม่มีวันหล่น เพราะพระอินทร์จับแขวนไว้ มันหล่อเลี้ยงจิตใจคนให้มีกำลังใจที่จะทำความดี รังสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม ส่งผลให้สังคมสงบสุข... บางที สิ่งที่คนเชื่อ ก็อาจไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หาความจริงเสมอไป เหมือนคุณยายท่านนั้น ที่มีความสุขกับการเดินทางแสวงบุญ เสียจนกระทั่งผมถามว่า คุณยายอยู่ใกล้ทะเล เคยไปเที่ยวทะเลไหม แกตอบผมได้โดนใจมากว่า...
ทะเลมันไม่มีวัดให้ยายไปทำบุญ แล้วจะไป (ให้โง่) ทำไมล่ะไอ้หลานเอ้ย ?!?



วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คุณเป็นสัตว์ประเภทไหน

 

มนุษย์เรามักอยากรู้จักตัวเองว่าเราเป็นคนอย่างไร และยังอยากรู้จักนิสัยใจคอลึก ๆ ของคนอื่น ๆ อีกด้วย อยากจะ "อ่าน" คนออก วิเคราะห์คนเป็น
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น หรือเพื่อจะได้กุมใจของอีกฝ่ายได้ เรื่องเกี่ยวกับการประเมินบุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่เสมอ ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาก็มีการแบ่งบุคลิกภาพออกได้ในหลาย ๆ แนวคิด ยกตัวอย่าง ดร.จอห์น เมอร์เรย์ (Dr. John F. Murray) แบ่งบุคลิกภาพออกเป็นประเภทเก็บตัว (Introvert) และบุคลิกภาพแบบชอบแสดงออกหรือชอบสังคม (Extravert)
ซึ่งก็แบ่งย่อยเป็นเก็บตัวแบบมีอารมณ์มั่นคง หรือเก็บตัวแบบอารมณ์หวั่นไหว ชอบสังคมแบบมั่นคง หรือชอบสังคมแบบหวั่นไหว หรือการแบ่งบุคลิกภาพ 9 แบบตามหลักเอ็นเนียแกรมที่มีชื่อเรียกว่านพลักษณ์ เป็นต้น ศาสตร์ทางทิเบตที่มีคนสนใจกันมาก มีการแบ่งคนออกเป็นบุคลิกภาพแบบอินทรี แบบหมี แบบหนู และแบบกระทิง ปัจจุบันก็มีคนอธิบายบุคลิกภาพตามการใช้สมองส่วนต่าง ๆ โดยอธิบายว่าสมองคนเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนสมองชั้นใน (Core brain) ส่วนของสมองชั้นกลาง (Limbic system) และส่วนของสมองชั้นนอก (Cerebral cortex) คนที่ใช้สมองชั้นในสูง ซึ่งเป็นสมองที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ และพลังชีวิต กลุ่มนี้จะเน้นการแสดงพลังทางร่างกาย (ถ้าเปรียบกับนพลักษณ์ก็จัดอยู่ในกลุ่มลักษณ์ 1 ลักษณ์ 8 ลักษณ์ 9 ซึ่งมีลักษณ์อยู่ที่ศูนย์ท้อง) บุคลิกภาพของกลุ่มนี้จะมีลักษณะตรงไปตรงมา ตัดสินใจรวดเร็ว มีพลังอำนาจในตัว ไวต่อความรู้สึก สนใจสิ่งที่เป็นปัจจุบันมากกว่าติดอยู่กับอดีตหรือห่วงกังวลกับอนาคต และลักษณะบุคลิกภาพของคนกลุ่มนี้ยังสามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 3 แบบ ได้แก่

{พวกที่ใช้พลังทางร่างกายออกสู่ภายนอก จะมีบุคลิกแบบนักสู้ รักความท้าทาย ชอบใช้สัญชาตญาณ สามารถจูงใจผู้อื่นให้ยอมตามได้ง่าย ถ้าจะโน้มน้าวให้เกิดการเรียนรู้ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ชอบอยู่ในบรรยากาศที่มีเพื่อนร่วมเรียนรู้เป็นกลุ่ม เป็นผู้ที่ต้องการความชื่นชมจากคนรอบข้าง
{ พวกที่ดึงพลังจากภายนอกเข้าสู่ตัว จะมีลักษณะแข็งกร้าว ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ ค่านิยม จารีตประเพณี มักไม่ค่อยยืดหยุ่น มีอัตตาสูง ค่อนข้างเผด็จการ เป็นพวกชอบวางแผน เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ไปทีละขั้น ไม่ชอบการเรียนลัด
{ พวกที่มีพลังทางกายไหลเวียนอยู่ในตัว จะใช้พลังสมทางร่างกายอย่างดุล กลุ่มนี้จะมีลักษณะสุขุม รักสงบ ไม่ชอบความขัดแย้ง รู้จักรอคอย อดทน ทำอะไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป ชอบการเรียนรู้แบบสั่งสมไปเรื่อย ๆ และเรียนทีละเรื่องประเภทรู้เรื่องเดียวแต่รู้ลึก

คนที่ใช้สมองชั้นกลางสูง สมองชั้นกลางเป็นส่วนของอารมณ์ ความรู้สึก คล้ายกับพวกลักษณ์ 2 ลักษณ์ 3 และลักษณ์ 4 ของนพลักษณ์ ซึ่งมีลักษณ์อยู่ที่ศูนย์ใจเป็นสำคัญ คนกลุ่มนี้มักจะมีอารมณ์อ่อนไหว มีความซับซ้อนล้ำลึกทางอารมณ์สูง มีความรู้สึกผสมปนเปจนยากที่จะเดา มักเป็นคนสมบูรณ์แบบ มีมาตรฐานสูง ในขณะเดียวกันก็จะสามารถรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น ๆ ได้ดี เป็นพวกแคร์สังคม มักคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นก่อนเสมอ ในกลุ่มนี้สามารถแบ่งย่อยเป็น 3 แบบ คือ
{ พวกที่ปล่อยพลังอารมณ์ออกสู่ภายนอก มักเป็นพวกจิตอาสา มีความสุขจากการให้ ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น ๆ แต่ถ้าถูกปฏิเสธความมีน้ำใจ จะเกิดความรู้สึกหวั่นไหว ขาดความมั่นใจและรู้สึกท้อแท้ กลุ่มนี้ไม่ชอบการแข่งขัน จะใช้วิธีพูดคุยเพื่อระบายความรู้สึกกับคนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ เมื่อเกิดความเครียด หรือไม่สบายใจ
{ พวกที่ดึงพลังอารมณ์เข้าสู่ตัวเอง จะรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ดี มักมีความคิดสร้างสรรค์และมีอารมณ์ศิลปิน มีความเป็นส่วนตัวสูง และจะทุ่มเทความสนใจให้เฉพาะกับสิ่งที่ชอบ
{ พวกที่มีพลังอารมณ์ไหลเวียนอยู่กึ่งกลางในร่างกาย มักเป็นคนเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตนเอง ปรารถนาจะเป็นคนสมบูรณ์แบบ มีความมุ่งมั่นพยายาม มีความทะเยอทะยานสูง ชอบโอ้อวด และต้องการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น กลุ่มนี้มักมีผลงานโดดเด่น อาจแปลงร่างจากนักบุญเป็นพ่อมดแม่มดได้ในบางครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ได้

คนที่ใช้สมองชั้นนอกสูง ซึ่งตรงกับบุคลิกแบบลักษณ์ 5 ลักษณ์ 6 และลักษณ์ 7 ที่มีลักษณ์อยู่ที่ศูนย์หัวตามแนวคิดของนพลักษณ์นั่นเอง ดังนั้น คนกลุ่มนี้มักมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มีเหตุผล ชอบคิดสร้างสรรค์ รับรู้ระยะและมิติได้ดี มีความอยากรู้อยากเห็น เป็นคนคิดมาก จึงอาจเกิดความรู้สึกสับสนได้ง่ายถ้าไม่รู้จักควบคุมความคิด หรือพัฒนาให้คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ มักมีความเชื่อมั่นในความคิดเห็นของตนเอง ในกลุ่มนี้สามารถแบ่งย่อยเป็น 3 แบบเช่นเดียวกัน
{ พวกที่ใช้พลังสติปัญญาออกสู่ภายนอก มักเป็นคนมองโลกในแง่ดี สนุกกับการคิดสิ่งแปลกใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์สูง แต่ถ้าเมื่อใดที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ก็จะหมดกำลังใจเอาได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
{ พวกที่ใช้พลังสติปัญญาเข้าสู่ตัวเอง จะเป็นคนช่างสังเกต มีสมาธิดี ชอบทดลอง และชอบทำอะไรคนเดียวเงียบ ๆ มากกว่าทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ เรียกว่ามีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เป็นคนที่ไม่ค่อยมีทักษะด้านการกีฬา
{ พวกที่ใช้พลังสติปัญญาให้ไหลเวียนอยู่ภายในตัว ลักษณะเด่นคือคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย คิดวนเวียนไม่รู้จบ ช่างกังวล ตัดสินใจช้า ประเภทคิดแล้วคิดอีก และมีความมุ่งมั่นพยายามสูง

ลองพิจารณาตัวเองดูว่าคุณเป็นพวกที่ใช้สมองส่วนไหนสูงมากกว่ากัน แต่ทุกอย่างสามารถปรับและพัฒนาให้ดีขึ้นได้เสมอ

โดย : อมรากุล อินโอชานนท์
Life Style :
สุขภาพ วันที่ 21 มีนาคม 2554